วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

The Lake House บ้านทะเลสาบ บ่มรักปาฏิหาริย์



                หนังรักโรแมนติกเรื่อง The Lake House บ้านทะเลสาบ บ่มรักปาฏิหาริย์นี้ เมื่อดูแล้วหลายๆคนคงอยากจะมีรักแท้ปาฏิหาริย์ข้ามกาลเวลาเหมือนอย่างคุณหมอสาว เคท ฟอสเตอร์ (ซานดร้า บุลล็อก) และสถาปนิกหนุ่มไฟแรง อเล็กซ์       ไวเลอร์ (คีนู รีฟ) เป็นแน่ เรื่องราวต่างๆ เริ่มต้นขึ้นเมื่อตู้จดหมายหน้าบ้านริมทะเลสาบกลายเป็น time machine ส่งจดหมายข้ามกาลเวลาสลับไปมา ทำให้คนสองคนที่อยู่ต่างเวลากันถึง 2 ปี คือนางเอกอยู่ในปี 2006 และพระเอกอยู่ในปี 2004  มารู้จักกันและตกหลุมรักกัน กระทั่งต่อมาเธอก็ค้นพบว่า ก่อนหน้าที่เธอจะรู้จักกับเขาข้ามผ่านห้วงเวลาที่ต่างกัน เขาคือคนแปลกหน้าที่ถูกรถชน ในวันวาเลนไทน์ ปี 2006 ที่เธอพยายามช่วยเขาอย่างถึงที่สุด แต่สุดท้ายเขาก็ตายลงในอ้อมกอดของเธอ  เธอพยายามเปลี่ยนแปลงอดีต เธอเขียนจดหมายถึงเขา บอกเขาไม่ให้ไปที่นั่น ไม่ให้เขาเดินข้ามถนนสายนั้น ให้เขารอเธออีก 2 ปี  แล้วมาพบกันที่บ้านริมทะเลสาบ เธอจะรอเขาอยู่....
 ...เธอรอเขาอยู่ที่นั่น ที่บ้านริมทะเลสาบ หน้าตู้จดหมายตู้นั้น แล้วเขาก็มา...อย่างปาฏิหาริย์ 
    หนังเรื่องนี้เข้าฉายเมื่อปีค.ศ. 2006 เป็นแนวรักโรแมนติกตามแบบฉบับฮอลลีวู้ด ซึ่งดัดแปลงมาจากหนังเกาหลีเรื่อง อิล มาเร ลิขิตรักข้ามเวลา (ค.ศ. 2000) ในเรื่องนี้มีความมหัศจรรย์ต่างๆเกิดขึ้นมากมาย เช่น พระเอกและนางเอกติดต่อกันข้ามช่วงเวลาที่ต่างกันได้ พระเอกปลูกต้นไม้ให้นางเอกแล้วมันก็เติบโตอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตานางเอก หรือตอนที่นางเอกพยายามเปลี่ยนแปลงอดีตของพระเอกที่ต้องโดนรถชน แล้วก็เปลี่ยนแปลงได้ในที่สุด เป็นต้น เรื่องราวความมหัศจรรย์ต่างๆที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ก็อาจจะคล้ายๆกับนวนิยายแนวสัจนิยมมหัศจรรย์( Magical Realism) ด้วยก็ได้
                ลองคิดดูแล้วบางทีหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้เป็น “รักแท้ปาฏิหาริย์” ที่เกิดขึ้นจริงก็ได้  แต่อาจเป็นเพียง “ความฝัน” ที่นางเอกอาจจะเป็นคนสร้างจินตนาการนี้ขึ้นมา เนื่องจากเธอต้องเผชิญทั้งความเหงา ความโดดเดี่ยว และความอ้างว้าง เธอพบว่า  “ทุกครั้งที่ฉันมีเวลาพักหายใจ ฉันก็รู้ซึ้งว่าฉันโดดเดี่ยวแค่ไหน ฉะนั้นเธอจึงอยากมีใครสักคนมาอยู่ข้างๆ คอยเป็นเพื่อนคู่คิด คอยเติมเต็มความรักและกำลังใจ  เธอจึงสร้างโลกความฝันที่หลีก หนีความเป็นจริงขึ้นมา ผนวกกับความรู้สึกผิดและโศกเศร้าเสียใจที่เธอไม่สามารถจะช่วยชายแปลกหน้าคนหนึ่งจากอุบัติเหตุรถชนได้ จนถึงขั้นต้องไปพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจ  ชายคนนั้นอาจจะเป็นอเล็กซ์ ไวเลอร์ ลูกชายขอไซมอน ไวเลอร์ สถาปนิกเจ้าของบ้านริมทะเลสาบจริงๆ หรือเป็นใครคนอื่นก็ได้  แล้วเธอก็หยิบยกให้เขามาเป็นพระเอกของเธอ และเติมแต่งจินตนาการลงไปอย่างที่เธออยากให้เขาเป็น และเธอก็จินตนาการว่าเธอติดต่อกับเขาผู้ซึ่งอยู่ในอดีตเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าตอนนั้นเขายังมีชีวิตอยู่ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะมีพระเอกอย่างอเล็กซ์ที่ทั้งหล่อ โรแมนติก และมั่นคงในความรักมาก ซึ่งนับว่าเป็น “ชายในฝัน” ของผู้หญิงทั่วไป            
                นอกจากนี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเธอและเขาก็เผอิญไปตรงกับแนวเรื่องในนิยายเล่มโปรดของเธอเรื่อง “เพอร์ซูเอชั่น” ของเจน ออสเทนอีกด้วย เรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับ “การรอคอยของคนสองคนที่ได้มาเจอกันและตกหลุมรักกันในเวลาที่ไม่เหมาะสม ทำให้ต้องแยกจากกัน แต่หลังจากนั้นก็ได้มาเจอกันอีกและคราวนี้ก็มีโอกาส แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปนานเกินไป รอนานเกินไป มันก็ยากที่จะเป็นไปได้” ซึ่งจุดนี้ก็ตรงกันกับตอนที่เวลาล่วงเลยมาระยะหนึ่ง แล้วนางเอกก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นเป็นเพียงภาพฝันที่คอยปลอบประโลมเธอซึ่งมันไม่มีวันจะกลายเป็นจริงได้ เธอจึงตัดสินใจยุติเรื่องราวระหว่างเธอกับเขา  แล้วหันมาเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง ด้วยการคบหากับผู้ชายในชีวิตจริงของเธอ นั่นก็คือ “มอร์แกน”   แต่อย่างไรก็ตาม “มอร์แกน” ก็ไม่ใช่ผู้ชายที่เธอรักและไม่ใช่ผู้ชายอย่างที่เธอวาดฝันไว้ จนถึงวันวาเลนไทน์ ปี 2008 มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เธอคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นวันที่ผู้ชายคนนั้น อเล็กซ์ ไวเลอร์ ชายในจินตนาการของเธอได้ตายลงในอ้อมแขนของเธอนั่นเอง 
                       
            
ความรู้สึกผิดและโศกเศร้าเสียใจจึงถาโถมใส่เธออีกครั้ง เธอพยายามจะรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อีกครั้งหนึ่ง เธอไม่สามารถทำใจให้ยอมรับได้ว่าเขาตายไปแล้วจริงๆ เธอจึงจินตนาการว่าเธอเขียนจดหมายติดต่อกับเขา ห้ามเขาไม่ให้ไปตามหาเธอ ณ สถานที่แห่งนั้น ห้ามไม่ให้เขาข้ามถนนไปหาเธอ  แต่ให้เขารอเธออีก 2 ปี แล้วมาพบกันที่บ้านริมทะเลสาบแห่งนี้แทน เธอจะรอเขาอยู่ที่นี่ ในท้ายที่สุดเธอก็สามารถแก้ไขอดีตได้ อเล็กซ์ไม่ได้ข้ามถนนสายนั้น เขารออีก 2 ปี และมาพบกับเคทที่บ้านริมทะเลสาบแล้วทั้งสองก็ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข         
                                                               
แบบที่ 1
สิ่งที่บอกใบ้คนดูอีกอย่างหนึ่ง น่าจะเป็น“โปสเตอร์หนัง”  ที่มีหลักๆ อยู่  2 แบบ ซึ่งแบบแรกนี้ก็คงจะเห็นกันจนชินตา เป็นรูปคนสองคนยืนกอดกัน สื่อให้เห็นว่าคนในเรื่องทั้งสองนี้ต้องเป็นคู่รักกันอย่างแน่นอน แต่ที่น่าสังเกตก็คือ รูปซานดร้า บุลล็อก นางเอกของเรื่องเป็นรูปสี แต่รูปคีนู รีฟ พระเอกของเรื่อง กลับเป็นรูปขาวดำ อีกทั้งข้อความใต้ชื่อหนังที่ว่า How do you hold on to someone you’ve never met?  สิ่งเหล่านี้เหมือนเป็นการบอกใบ้ว่าพระเอกไม่มีตัวตนอยู่จริง หรืออาจเป็นเพียงภาพในจินตนาการของนางเอกเพราะเธอไม่เคยพบเขามาก่อนเลย
 
แบบที่ 2

สำหรับโปสเตอร์แบบที่สอง ถึงแม้ว่าจะเป็นรูปสีทั้งหมด แต่ถ้าสังเกตดูก็จะรู้สึกได้ว่าการให้สีและเทคนิคการแต่งภาพทำให้รู้สึกเหมือนล่องลอยอยู่ในความฝันเช่นกัน

ไม่ว่าหนังรักเรื่องนี้จะเป็น “ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นจริง” หรือแค่ “ภาพฝัน” ของนางเอก บางทีทั้งสองอย่างมันก็อยู่ห่างกันเพียงแค่เส้นเล็กๆ บางๆ เส้นหนึ่ง ที่บางครั้งเราก็ไม่สามารถแยกแยะมันได้ หรือในบางครั้งก็มักจะทำให้เรารู้สึกสับสนและสงสัยว่าแท้จริงแล้ว เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับเราอย่างเหลือเชื่อนั้นเป็นเพียงแค่ฝันหรือเป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นจริง
เชื่อว่าหนังรักเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกมีความสุข อมยิ้ม หัวเราะ และร้องไห้ ไปกับเคทและอเล็กซ์ได้ เพราะนอกจากฝีมือการแสดงของนักแสดงชั้นนำอย่างซานดร้า บุลล็อกกับคีนู รีฟแล้ว เทคนิคการกำกับของอเลจานโดร อักเกรสติ ที่พิถีพิถันในการเลือกฉาก การตัดต่อภาพ และการลำดับภาพ ก็ทำให้ภาพโดยรวมของเรื่องออกมาสวยงามประทับใจคนดู แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือฉากบ้านแสนสวยริมทะเลสาบที่ออกแบบได้อย่างเก๋ไก๋ ดูสบายตา ตัวบ้านยื่นออกไปในทะเลสาบ ปลูกต้นเมเปิ้ลที่ใบจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสะพรั่งก่อนผลัดใบไว้กลางบ้าน  ประดับด้วยบานกระจกโดยรอบ ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจริงๆ
นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายฉากที่ภาพสวยประทับใจ เช่น ฉากที่ทั้งคู่นัดเดทกันด้วยการเดินชมเมืองบนถนนสายเก่าในชิคาโก้ ฉากนี้ก็จะได้ดูตึกและอาคารสวยๆ หลายรูปแบบ ทั้งยังมีฉากโรแมนติกที่อาจทำให้ใครหลายคนอดอมยิ้มตามไม่ได้ พระเอกเขียนข้อความทิ้งไว้บนผนังถึงนางเอกว่า “เคทผมอยู่กับคุณที่นี่ ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันในวันเสาร์นะ” และอีกฉากหนึ่งที่สวยไม่แพ้กัน นั่นคือฉากที่ทั้งสองนั่งเขียนจดหมายถึงกันอยู่ที่สวนสาธารณะ โดยจะแบ่งครึ่งของภาพด้วยสีที่แตกต่างกัน ซีกซ้ายเป็นปี 2004 ที่พระเอกอยู่  ซีกขวาเป็นปี 2006 ที่นางเอกอยู่ และให้คนที่เดินไปมาของปีนั้นๆ เดินหายไปหรือโผล่มาตรงกลางภาพ นับเป็นเทคนิคการนำเสนอที่สร้างสรรค์เทคนิคหนึ่ง  
 
 

นอกจากนี้ก็ยังจะได้เพลินเพลินไปกับเพลงเพราะๆหลากหลายเพลงที่ใช้ประกอบในหนังเรื่องนี้อีกด้วย เช่น เพลง This Never Happened Before ของ Paul Mccartney ที่ใช้ในฉากที่ทั้งคู่เต้นรำกันในงานเลี้ยงวันเกิดของเคท เหตุการณ์นี้เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้ทำความรู้จักกันจริงๆ และเพลงนี้ก็สะท้อนความรู้สึกของพระเอกที่เขาแน่ใจว่าเขาต้องหลงรักเคทแน่ๆ ได้เป็นอย่างดี และอีกหลายๆเพลง เช่น I Can't Seem To Make You Mine ของThe Clientele ที่ใช้ในตอนเปิดเรื่อง   It’s Too Late ของ Carole King หรือเพลงบรรเลงอย่าง The Lake House ก็ไพเราะซาบซึ้งกินใจไม่แพ้กัน
หนังเรื่องนี้ทำให้ผู้ชมเห็นคุณค่าความสำคัญของ “เวลา” และ “ความรัก”  ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงพลังแห่งปาฏิหาริย์และความฝัน เมื่อเราเชื่อมั่นในปาฏิหาริย์และพลังแห่งความฝัน สิ่งเหล่านี้ก็จะทำให้เรารู้สึกมีความหวังและมีกำลังใจ เป็นเหมือนเครื่องล่อเลี้ยงและแรงขับเคลื่อนให้ชีวิตดำเนินต่อไปในโลกแห่งความเป็นจริงที่เคร่งเครียดกับการเรียน การทำงาน สภาพเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงเรื่องอื่นๆที่คอยแต่จะบีบคั้นชีวิตให้หดหู่และท้อแท้สิ้นหวังได้อย่างมีความสุข