
เรื่อง “มอม” เป็นเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ในหนังสือรวมเรื่องสั้น “เพื่อนนอน” ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเนื้อเรื่องได้จำลองเหตุการณ์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ราว พ.ศ. 2485 – 2488 เป็นเรื่องราวของ “มอม” ซึ่งเป็นสุนัขพันทางระหว่างพันธุ์อัลเซเชียนและพันธุ์ไทย มันได้รับการเลี้ยงดูด้วยความรักจากครอบครัวเล็กๆย่านมักกะสันที่อยู่กันสามคนคือ นาย นายหญิง และ “หนู” ซึ่งเป็นลูกสาวของนาย จนทำให้มอมรู้สึกผูกพันและภักดีต่อนายมาก
ผู้แต่งเปิดเรื่องด้วย “มอม” ซึ่งเป็นตัวละครเอก ได้อย่างน่าสนใจและชวนติดตาม เพราะมีการเล่าภูมิหลังของมอมตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก เห็นสภาพแวดล้อมของบ้านที่มันอยู่ และปูเรื่องให้เห็นภาพความผูกพันของมอมและนายอย่างน่าประทับใจ ทั้งยังสื่อให้ผู้อ่านรู้ว่าน่าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความผูกพันที่สัตว์เลี้ยงมีต่อเจ้าของ เห็นได้จากตอนที่ว่า “โลกนี้มีชายคนหนึ่งและแม่อีกคนหนึ่ง” และ “...มอมมันจำกลิ่นไว้ได้ กำหนดสัญญาไว้ว่าคนๆนั้นเป็นนายของมัน แล้วมันก็รัก” แสดงให้เห็นในขั้นต้นว่าความผูกพันระหว่างมอมกับนายได้เริ่มขึ้น โดยการอธิบายให้เห็นถึงความเอาใจใส่ที่นายมีต่อมอม ในขณะเดียวกันก็ค่อยๆลดบทบาทของแม่มอมลงไป จนเมื่อมันโตขึ้นแม่ก็หายไปจากโลกของมันในที่สุด เหลือเพียงแต่นายที่ “มอมไม่ได้รักนายเท่าชีวิต แต่นายเป็นชีวิตของมอม” หลังจากนั้นก็เป็นการอธิบายถึงธรรมชาติและสัญชาตญาณทั่วไปของสุนัข เช่น การปัสสาวะรายทางไว้เป็นสัญลักษณ์ในการไปที่ต่างๆและหาทางกลับบ้าน แต่ผู้แต่งก็ใช้คำที่ยัดเยียดความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ลงไปในสัตว์มากเกินไป ทำให้การปัสสาวะรายทางกลายเป็นเรื่องของการท้าทายเกียรติยศของสุนัขที่จะมาทับรอยกันไม่ได้ ซึ่งจริงๆแล้วสุนัขมันอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้นก็ได้ และเหตุการณ์ต่อมาที่มอมไปหลงรักนางนวล สุนัขใกล้บ้าน จนไม่ยอมกลับบ้าน ไม่กินข้าวกินปลาและโดนตีเพราะส่งเสียงหอนเป็นที่รำคาญของชาวบ้าน สุดท้ายก็ต้องซมซานกลับมาหานาย จุดนี้ทำให้มอมรู้สึกสำนึกและตระหนักได้ว่าถึงแม้มอมจะทำผิดโดยการทิ้งนายไปอยู่บ้านอื่นหลายวัน แต่นายก็ไม่โกรธ ทั้งยังหาข้าวมาให้กิน และรักษาอาการป่วยจนมอมกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม เหตุการณ์นี้ก็ทำให้มอมยิ่งรักและซื่อสัตย์กับนายมากขึ้นอีก
หลังจากนั้น 2 ปี ก็เริ่มมีการเกริ่นการณ์ให้คาดการณ์ได้ว่าจะมีเหตุการณ์ไม่ดีหรือผิดปกติเกิดขึ้น เห็นได้จากฉากและบรรยากาศที่เป็นฤดูหนาว อากาศเย็นเฉียบ อันสื่อถึงความเหงา ความเศร้า ความหดหู่และยิ่งไปกว่านั้นตอนที่บรรยายว่า “...จะสังเกตว่าเช้าวันนั้นผู้คนที่เดินถนนมีสีหน้าผิดปรกติ บางคนก็หน้าตาเศร้าหมอง บางคนก็หน้าตื่น...” และ “...มีรถยนต์บรรทุกขนาดใหญ่โตกว่าที่มันเคยเห็น วิ่งตามกันมาเป็นแถวยาวเหยียด แผ่นดินสะเทือนมาตั้งแต่ไกล...” หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดีขึ้นจริงๆ คือบ้านเมืองเกิดสงครามขึ้น นายจำเป็นต้องไปทำหน้าที่ในสงครามเพราะบทบาททางสังคมเป็นกฎเกณฑ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การไปของนายในครั้งนี้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของทุกคนในครอบครัว รวมถึงตัวมอมเอง ที่เหมือนขาดคนอันเป็นที่รักไปโดยไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ ทั้งนี้ผู้แต่งเริ่มเร้าอารมณ์ผู้อ่านโดยการทำให้สถานการณ์แย่ลงไปเรื่อยๆและทำให้ผู้อ่านรับรู้ถึงสภาพสังคมในช่วงสงคราม โดยใช้ฉากและบรรยากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนที่นายผู้หญิงและหนูเสียชีวิต ผู้แต่งสามารถบรรยายฉากและบรรยากาศของเหตุการณ์ในคืนนั้นได้เป็นอย่างดี จนทำให้ผู้อ่านสัมผัสได้ถึงภาพ กลิ่น เสียงเสมือนอยู่ในเหตุการณ์ของสงครามนั้นจริงๆ เช่น “...มอมได้ยินเสียงลูกระเบิดแหวกอากาศตรงลงมาที่หลังคาบ้าน มันหมอบนิ่งคอยความกระเทือนของระเบิด แต่แทนที่จะมีเสียงระเบิดมอมกลับได้ยินเสียงกราวใหญ่ทางหลังบ้าน อีกสักครู่หนึ่งมันก็ได้กลิ่นเหม็นไหม้อย่างแรง ไฟไหม้บ้านแน่แล้ว...”
ผู้อ่านจะเห็นภาพที่ผู้คนใช้ชีวิตด้วยความลำบาก และหวาดกลัว แต่ถึงกระนั้นมอมก็ยังเฝ้ารอนายด้วยความหวังและความรู้สึกที่มั่นคง อีกทั้งยังจดจำทุกๆอย่างที่นายได้สั่งไว้และทำตามอย่างเคร่งครัด เพียงเพราะไม่อยากทำให้นายผิดหวัง ตอนนี้จะเห็นว่ามอมพยายามทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มความสามารถ แต่การรอคอยที่ยาวนานในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก ก็บั่นทอนกำลังใจ และเร้าอารมณ์ผู้อ่านจนถึงขีดสุด เมื่อนายหญิงและหนูเสียชีวิต มอมก็เหมือนกับหัวใจแตกสลาย ถึงกระนั้นก็ยังอดทนรอนายด้วยความจงรักภักดี แต่ด้วยสภาพร่างกายที่หิวโซทำให้มันต้องออกไปหาอาหารไปเรื่อยๆเพื่อประทังชีวิต จนกระทั่งหมดแรงที่จะเดินต่อไป ผู้แต่งทำให้ผู้อ่านรู้สึกสงสารและเห็นใจมอมมากขึ้นไปอีก ด้วยความบังเอิญมอมก็ได้เจอกับคุณแต๋ว ซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงที่รักสัตว์ ดังที่เราเห็นได้จากการที่เธอลูบหัวของมอมอย่างเอ็นดู รวมถึงคำพูดที่แสดงให้เห็นว่าเธอสงสารและอยากจะเลี้ยงมอมไว้ หลังจากนั้นมอมก็ได้ไปอยู่กับคุณแต๋ว เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงสัญชาตญาณเอาตัวรอดของสัตว์ ที่เมื่อไม่มีหนทางไป แต่เมื่อมีโอกาสก็จะไม่ลังเลที่จะคว้าเอาไว้ ตลอดเวลาที่อยู่กับคุณแต๋วถึงมอมจะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี และถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “ไอ้ดิ๊ก” แต่ลึกๆแล้ว มันไม่เคยลืมว่ามันเป็นมอมของนาย
จากนั้นเรื่องราวก็ได้ดำเนินมาถึงจุดวิกฤต ในกลางดึกคืนหนึ่งที่ครอบครัวของคุณแต๋วไม่อยู่บ้าน มอมได้ยินเสียงขโมยที่กำลังงัดแงะเข้ามาในบ้าน มันจึงพยายามจะจับขโมยให้ได้ แต่แล้วก็พบว่าขโมยคนนั้นคือนายของมัน มันดีใจมากและตั้งใจจะติดตามนายไปทุกที่ แต่นายก็รู้สึกละอายที่ต้องมาเป็นขโมยเพราะตอนนี้ไม่เหลือทรัพย์สมบัติใดๆแล้ว ก็ได้ไล่ให้มอมกลับไปอยู่กับคุณแต๋ว แต่ด้วยความรักและภักดีต่อนาย ทำให้นายใจอ่อนและยอมให้มอมติดตามไปด้วย โดยที่ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ผู้อ่านจะรู้สึกได้ว่า เมื่อมอมได้มาเจอกับนาย พร้อมกับความรู้สึกที่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักเช่นเดิม ก็ทำให้มอมสามารถเสียสละความสุขของมันจากเจ้าของคนใหม่ ไปอยู่กับนาย โดยไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่มันก็พร้อมจะเผชิญ ขอเพียงแค่มีนายอยู่กับมัน เพราะมอมไม่ได้รักนายเท่าชีวิต แต่นายเป็นชีวิตของมอม
ผู้แต่งเล่าเรื่องย้อนไปในอดีตโดยให้บุคคลที่สามเป็นผู้เล่าซึ่งก็คือผู้แต่งนั่นเอง นับว่าเป็นวิธีการเล่าที่ชาญฉลาด การเล่าด้วยวิธีนี้ผู้แต่งสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครได้ทุกตัว โดยส่วนใหญ่จะนำเสนอความรู้สึกนึกคิดของมอม แต่ก็มีบางเหตุการณ์ที่ไม่ได้ถ่ายทอดจากความคิดของมอม เช่น “ถ้ามอมมันเป็นคน มันก็จะสังเกตว่าเช้าวันนั้น ผู้คนที่เดินถนนมีสีหน้าผิดปรกติ...” หรือ “มันหารู้ไม่ว่านายถูกระดมไปเป็นทหาร ไปอยู่ไกลไม่มีกำหนดกลับ...” นอกจากนี้ก็ยังมีบางตอนที่ผู้แต่งถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครอื่น เช่น “มอมมันเป็นหมามันจะรู้ได้อย่างไรว่านายหญิงมันกลัวแสนกลัวไม่เป็นอันหลับนอนจนเกือบจะล้มเจ็บลง...” เป็นต้น
ผู้แต่งเล่าเรื่องย้อนไปในอดีตโดยให้บุคคลที่สามเป็นผู้เล่าซึ่งก็คือผู้แต่งนั่นเอง นับว่าเป็นวิธีการเล่าที่ชาญฉลาด การเล่าด้วยวิธีนี้ผู้แต่งสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครได้ทุกตัว โดยส่วนใหญ่จะนำเสนอความรู้สึกนึกคิดของมอม แต่ก็มีบางเหตุการณ์ที่ไม่ได้ถ่ายทอดจากความคิดของมอม เช่น “ถ้ามอมมันเป็นคน มันก็จะสังเกตว่าเช้าวันนั้น ผู้คนที่เดินถนนมีสีหน้าผิดปรกติ...” หรือ “มันหารู้ไม่ว่านายถูกระดมไปเป็นทหาร ไปอยู่ไกลไม่มีกำหนดกลับ...” นอกจากนี้ก็ยังมีบางตอนที่ผู้แต่งถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครอื่น เช่น “มอมมันเป็นหมามันจะรู้ได้อย่างไรว่านายหญิงมันกลัวแสนกลัวไม่เป็นอันหลับนอนจนเกือบจะล้มเจ็บลง...” เป็นต้น
สำหรับการตั้งชื่อเรื่องไม่ค่อยน่าสนใจเท่าที่ควร เพราะไม่มีคำอื่นที่จะขยายความให้เข้าใจว่าเรื่องราวจะดำเนินไปในทิศทางใด เพียงแต่ตั้งชื่อตามตัวละครเอก “มอม” ซึ่งเป็นสุนัขพันทางตัวหนึ่ง ทำให้ผู้อ่านรู้แค่ว่า เรื่องราวที่เขียนมานั้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุนัข เพราะ ”มอม” เป็นคำที่เมื่อพูดแล้วสามารถรู้ได้ทันทีว่าหมายถึงสุนัขเช่นเดียวกับ คำว่าจ๋อ ที่ใช้เรียกแทนลิง หรือคำว่าเจ้าป่า ที่ใช้เรียกแทนสิงโต
การใช้ภาษาในเรื่องมอมนั้น แม้มีบางคำที่เข้าใจยาก แต่โดยภาพรวมผู้แต่งเลือกใช้คำง่าย กระชับ และเขาสามารถบรรยายให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจน สามารถทำให้ผู้อ่าน เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับเนื้อเรื่องในตอนนั้นๆ ได้ เช่น “ตะวันสายขึ้นมามันรู้สึกทั้งร้อนทั้งหิวและอยากน้ำ ขาของมันเริ่มเจ็บมากขึ้นมาอีก จมูกของมันแห้งผาก ลิ้นของมันห้อยและแผ่บาน ตาของมันสาดแดงด้วยสายเลือด…” หรือตอนที่บรรยายภาพที่แสดงให้เห็นถึงความเดือดร้อน อันสืบเนื่องมาจากสงครามก็เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามก็มีส่วนที่ผู้แต่งใช้คำไม่สอดคล้องกับบริบท เช่น “บางครั้งได้กลิ่นอะไรที่ข้างถนน น่าสนใจเป็นพิเศษ มันก็ไถลเที่ยวสูดดมกลิ่นนั้นเสีย” ส่วนนี้ไม่สอดคล้องกับอาการดีใจเอิกเกริกที่ได้ออกไปเที่ยวกับนาย เพราะการที่มอมสนใจดมกลิ่นนั้นเป็นธรรมชาติของสุนัขอยู่แล้ว
เรื่องสั้นเรื่อง “มอม” นี้ เป็นเรื่องที่ให้คุณค่าทั้งทางด้านอารมณ์และด้านปัญญา คือ ผู้แต่งสามารถถ่ายทอดความรักความผูกพันของสัตว์กับเจ้านายได้อย่างน่าติดตามและสะเทือนอารมณ์ผู้อ่านได้เป็นอย่างดี ส่วนคุณค่าทางปัญญานั้น ก็สะท้อนให้เห็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น ได้รู้ว่าวิธีการหลบภัยระเบิดในช่วงสงครามในตอนนั้น นิยมหลบภัยในหลุมหลบภัยที่ขุดไว้ใกล้ๆบ้าน นอกจากนี้ก็ยังสะท้อนให้เห็นว่าทหารผ่านศึกในสมัยนั้นไม่ได้รับสวัสดิการที่ดีพอ เป็นต้น
หากจะมองให้ลึกลงไปอีก มอมในเรื่องนี้อาจไม่ได้หมายถึงเฉพาะสุนัขพันทางตัวหนึ่งเท่านั้น แต่มอมเป็นสัญลักษณ์แทนมนุษย์ทุกคนที่มีความรัก ความซื่อสัตย์ต่อผู้ที่เป็นนายของชีวิต สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมที่มีผู้เป็นนาย มีลูกน้องคอยเดินตาม คอยทำทุกอย่างให้
ตราบใดที่นายยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อมอม มอมก็พร้อมที่จะแลกความสุขสบายทุกอย่าง...เพื่อนาย