วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

The Lake House บ้านทะเลสาบ บ่มรักปาฏิหาริย์



                หนังรักโรแมนติกเรื่อง The Lake House บ้านทะเลสาบ บ่มรักปาฏิหาริย์นี้ เมื่อดูแล้วหลายๆคนคงอยากจะมีรักแท้ปาฏิหาริย์ข้ามกาลเวลาเหมือนอย่างคุณหมอสาว เคท ฟอสเตอร์ (ซานดร้า บุลล็อก) และสถาปนิกหนุ่มไฟแรง อเล็กซ์       ไวเลอร์ (คีนู รีฟ) เป็นแน่ เรื่องราวต่างๆ เริ่มต้นขึ้นเมื่อตู้จดหมายหน้าบ้านริมทะเลสาบกลายเป็น time machine ส่งจดหมายข้ามกาลเวลาสลับไปมา ทำให้คนสองคนที่อยู่ต่างเวลากันถึง 2 ปี คือนางเอกอยู่ในปี 2006 และพระเอกอยู่ในปี 2004  มารู้จักกันและตกหลุมรักกัน กระทั่งต่อมาเธอก็ค้นพบว่า ก่อนหน้าที่เธอจะรู้จักกับเขาข้ามผ่านห้วงเวลาที่ต่างกัน เขาคือคนแปลกหน้าที่ถูกรถชน ในวันวาเลนไทน์ ปี 2006 ที่เธอพยายามช่วยเขาอย่างถึงที่สุด แต่สุดท้ายเขาก็ตายลงในอ้อมกอดของเธอ  เธอพยายามเปลี่ยนแปลงอดีต เธอเขียนจดหมายถึงเขา บอกเขาไม่ให้ไปที่นั่น ไม่ให้เขาเดินข้ามถนนสายนั้น ให้เขารอเธออีก 2 ปี  แล้วมาพบกันที่บ้านริมทะเลสาบ เธอจะรอเขาอยู่....
 ...เธอรอเขาอยู่ที่นั่น ที่บ้านริมทะเลสาบ หน้าตู้จดหมายตู้นั้น แล้วเขาก็มา...อย่างปาฏิหาริย์ 
    หนังเรื่องนี้เข้าฉายเมื่อปีค.ศ. 2006 เป็นแนวรักโรแมนติกตามแบบฉบับฮอลลีวู้ด ซึ่งดัดแปลงมาจากหนังเกาหลีเรื่อง อิล มาเร ลิขิตรักข้ามเวลา (ค.ศ. 2000) ในเรื่องนี้มีความมหัศจรรย์ต่างๆเกิดขึ้นมากมาย เช่น พระเอกและนางเอกติดต่อกันข้ามช่วงเวลาที่ต่างกันได้ พระเอกปลูกต้นไม้ให้นางเอกแล้วมันก็เติบโตอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตานางเอก หรือตอนที่นางเอกพยายามเปลี่ยนแปลงอดีตของพระเอกที่ต้องโดนรถชน แล้วก็เปลี่ยนแปลงได้ในที่สุด เป็นต้น เรื่องราวความมหัศจรรย์ต่างๆที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ก็อาจจะคล้ายๆกับนวนิยายแนวสัจนิยมมหัศจรรย์( Magical Realism) ด้วยก็ได้
                ลองคิดดูแล้วบางทีหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้เป็น “รักแท้ปาฏิหาริย์” ที่เกิดขึ้นจริงก็ได้  แต่อาจเป็นเพียง “ความฝัน” ที่นางเอกอาจจะเป็นคนสร้างจินตนาการนี้ขึ้นมา เนื่องจากเธอต้องเผชิญทั้งความเหงา ความโดดเดี่ยว และความอ้างว้าง เธอพบว่า  “ทุกครั้งที่ฉันมีเวลาพักหายใจ ฉันก็รู้ซึ้งว่าฉันโดดเดี่ยวแค่ไหน ฉะนั้นเธอจึงอยากมีใครสักคนมาอยู่ข้างๆ คอยเป็นเพื่อนคู่คิด คอยเติมเต็มความรักและกำลังใจ  เธอจึงสร้างโลกความฝันที่หลีก หนีความเป็นจริงขึ้นมา ผนวกกับความรู้สึกผิดและโศกเศร้าเสียใจที่เธอไม่สามารถจะช่วยชายแปลกหน้าคนหนึ่งจากอุบัติเหตุรถชนได้ จนถึงขั้นต้องไปพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจ  ชายคนนั้นอาจจะเป็นอเล็กซ์ ไวเลอร์ ลูกชายขอไซมอน ไวเลอร์ สถาปนิกเจ้าของบ้านริมทะเลสาบจริงๆ หรือเป็นใครคนอื่นก็ได้  แล้วเธอก็หยิบยกให้เขามาเป็นพระเอกของเธอ และเติมแต่งจินตนาการลงไปอย่างที่เธออยากให้เขาเป็น และเธอก็จินตนาการว่าเธอติดต่อกับเขาผู้ซึ่งอยู่ในอดีตเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าตอนนั้นเขายังมีชีวิตอยู่ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะมีพระเอกอย่างอเล็กซ์ที่ทั้งหล่อ โรแมนติก และมั่นคงในความรักมาก ซึ่งนับว่าเป็น “ชายในฝัน” ของผู้หญิงทั่วไป            
                นอกจากนี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเธอและเขาก็เผอิญไปตรงกับแนวเรื่องในนิยายเล่มโปรดของเธอเรื่อง “เพอร์ซูเอชั่น” ของเจน ออสเทนอีกด้วย เรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับ “การรอคอยของคนสองคนที่ได้มาเจอกันและตกหลุมรักกันในเวลาที่ไม่เหมาะสม ทำให้ต้องแยกจากกัน แต่หลังจากนั้นก็ได้มาเจอกันอีกและคราวนี้ก็มีโอกาส แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปนานเกินไป รอนานเกินไป มันก็ยากที่จะเป็นไปได้” ซึ่งจุดนี้ก็ตรงกันกับตอนที่เวลาล่วงเลยมาระยะหนึ่ง แล้วนางเอกก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นเป็นเพียงภาพฝันที่คอยปลอบประโลมเธอซึ่งมันไม่มีวันจะกลายเป็นจริงได้ เธอจึงตัดสินใจยุติเรื่องราวระหว่างเธอกับเขา  แล้วหันมาเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง ด้วยการคบหากับผู้ชายในชีวิตจริงของเธอ นั่นก็คือ “มอร์แกน”   แต่อย่างไรก็ตาม “มอร์แกน” ก็ไม่ใช่ผู้ชายที่เธอรักและไม่ใช่ผู้ชายอย่างที่เธอวาดฝันไว้ จนถึงวันวาเลนไทน์ ปี 2008 มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เธอคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นวันที่ผู้ชายคนนั้น อเล็กซ์ ไวเลอร์ ชายในจินตนาการของเธอได้ตายลงในอ้อมแขนของเธอนั่นเอง 
                       
            
ความรู้สึกผิดและโศกเศร้าเสียใจจึงถาโถมใส่เธออีกครั้ง เธอพยายามจะรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อีกครั้งหนึ่ง เธอไม่สามารถทำใจให้ยอมรับได้ว่าเขาตายไปแล้วจริงๆ เธอจึงจินตนาการว่าเธอเขียนจดหมายติดต่อกับเขา ห้ามเขาไม่ให้ไปตามหาเธอ ณ สถานที่แห่งนั้น ห้ามไม่ให้เขาข้ามถนนไปหาเธอ  แต่ให้เขารอเธออีก 2 ปี แล้วมาพบกันที่บ้านริมทะเลสาบแห่งนี้แทน เธอจะรอเขาอยู่ที่นี่ ในท้ายที่สุดเธอก็สามารถแก้ไขอดีตได้ อเล็กซ์ไม่ได้ข้ามถนนสายนั้น เขารออีก 2 ปี และมาพบกับเคทที่บ้านริมทะเลสาบแล้วทั้งสองก็ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข         
                                                               
แบบที่ 1
สิ่งที่บอกใบ้คนดูอีกอย่างหนึ่ง น่าจะเป็น“โปสเตอร์หนัง”  ที่มีหลักๆ อยู่  2 แบบ ซึ่งแบบแรกนี้ก็คงจะเห็นกันจนชินตา เป็นรูปคนสองคนยืนกอดกัน สื่อให้เห็นว่าคนในเรื่องทั้งสองนี้ต้องเป็นคู่รักกันอย่างแน่นอน แต่ที่น่าสังเกตก็คือ รูปซานดร้า บุลล็อก นางเอกของเรื่องเป็นรูปสี แต่รูปคีนู รีฟ พระเอกของเรื่อง กลับเป็นรูปขาวดำ อีกทั้งข้อความใต้ชื่อหนังที่ว่า How do you hold on to someone you’ve never met?  สิ่งเหล่านี้เหมือนเป็นการบอกใบ้ว่าพระเอกไม่มีตัวตนอยู่จริง หรืออาจเป็นเพียงภาพในจินตนาการของนางเอกเพราะเธอไม่เคยพบเขามาก่อนเลย
 
แบบที่ 2

สำหรับโปสเตอร์แบบที่สอง ถึงแม้ว่าจะเป็นรูปสีทั้งหมด แต่ถ้าสังเกตดูก็จะรู้สึกได้ว่าการให้สีและเทคนิคการแต่งภาพทำให้รู้สึกเหมือนล่องลอยอยู่ในความฝันเช่นกัน

ไม่ว่าหนังรักเรื่องนี้จะเป็น “ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นจริง” หรือแค่ “ภาพฝัน” ของนางเอก บางทีทั้งสองอย่างมันก็อยู่ห่างกันเพียงแค่เส้นเล็กๆ บางๆ เส้นหนึ่ง ที่บางครั้งเราก็ไม่สามารถแยกแยะมันได้ หรือในบางครั้งก็มักจะทำให้เรารู้สึกสับสนและสงสัยว่าแท้จริงแล้ว เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับเราอย่างเหลือเชื่อนั้นเป็นเพียงแค่ฝันหรือเป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นจริง
เชื่อว่าหนังรักเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกมีความสุข อมยิ้ม หัวเราะ และร้องไห้ ไปกับเคทและอเล็กซ์ได้ เพราะนอกจากฝีมือการแสดงของนักแสดงชั้นนำอย่างซานดร้า บุลล็อกกับคีนู รีฟแล้ว เทคนิคการกำกับของอเลจานโดร อักเกรสติ ที่พิถีพิถันในการเลือกฉาก การตัดต่อภาพ และการลำดับภาพ ก็ทำให้ภาพโดยรวมของเรื่องออกมาสวยงามประทับใจคนดู แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือฉากบ้านแสนสวยริมทะเลสาบที่ออกแบบได้อย่างเก๋ไก๋ ดูสบายตา ตัวบ้านยื่นออกไปในทะเลสาบ ปลูกต้นเมเปิ้ลที่ใบจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสะพรั่งก่อนผลัดใบไว้กลางบ้าน  ประดับด้วยบานกระจกโดยรอบ ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจริงๆ
นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายฉากที่ภาพสวยประทับใจ เช่น ฉากที่ทั้งคู่นัดเดทกันด้วยการเดินชมเมืองบนถนนสายเก่าในชิคาโก้ ฉากนี้ก็จะได้ดูตึกและอาคารสวยๆ หลายรูปแบบ ทั้งยังมีฉากโรแมนติกที่อาจทำให้ใครหลายคนอดอมยิ้มตามไม่ได้ พระเอกเขียนข้อความทิ้งไว้บนผนังถึงนางเอกว่า “เคทผมอยู่กับคุณที่นี่ ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันในวันเสาร์นะ” และอีกฉากหนึ่งที่สวยไม่แพ้กัน นั่นคือฉากที่ทั้งสองนั่งเขียนจดหมายถึงกันอยู่ที่สวนสาธารณะ โดยจะแบ่งครึ่งของภาพด้วยสีที่แตกต่างกัน ซีกซ้ายเป็นปี 2004 ที่พระเอกอยู่  ซีกขวาเป็นปี 2006 ที่นางเอกอยู่ และให้คนที่เดินไปมาของปีนั้นๆ เดินหายไปหรือโผล่มาตรงกลางภาพ นับเป็นเทคนิคการนำเสนอที่สร้างสรรค์เทคนิคหนึ่ง  
 
 

นอกจากนี้ก็ยังจะได้เพลินเพลินไปกับเพลงเพราะๆหลากหลายเพลงที่ใช้ประกอบในหนังเรื่องนี้อีกด้วย เช่น เพลง This Never Happened Before ของ Paul Mccartney ที่ใช้ในฉากที่ทั้งคู่เต้นรำกันในงานเลี้ยงวันเกิดของเคท เหตุการณ์นี้เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้ทำความรู้จักกันจริงๆ และเพลงนี้ก็สะท้อนความรู้สึกของพระเอกที่เขาแน่ใจว่าเขาต้องหลงรักเคทแน่ๆ ได้เป็นอย่างดี และอีกหลายๆเพลง เช่น I Can't Seem To Make You Mine ของThe Clientele ที่ใช้ในตอนเปิดเรื่อง   It’s Too Late ของ Carole King หรือเพลงบรรเลงอย่าง The Lake House ก็ไพเราะซาบซึ้งกินใจไม่แพ้กัน
หนังเรื่องนี้ทำให้ผู้ชมเห็นคุณค่าความสำคัญของ “เวลา” และ “ความรัก”  ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงพลังแห่งปาฏิหาริย์และความฝัน เมื่อเราเชื่อมั่นในปาฏิหาริย์และพลังแห่งความฝัน สิ่งเหล่านี้ก็จะทำให้เรารู้สึกมีความหวังและมีกำลังใจ เป็นเหมือนเครื่องล่อเลี้ยงและแรงขับเคลื่อนให้ชีวิตดำเนินต่อไปในโลกแห่งความเป็นจริงที่เคร่งเครียดกับการเรียน การทำงาน สภาพเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงเรื่องอื่นๆที่คอยแต่จะบีบคั้นชีวิตให้หดหู่และท้อแท้สิ้นหวังได้อย่างมีความสุข
               


               

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

มอม : ใจหมา




      
            เรื่อง “มอม” เป็นเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ในหนังสือรวมเรื่องสั้น “เพื่อนนอน”
ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเนื้อเรื่องได้จำลองเหตุการณ์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ราว พ.ศ. 2485 – 2488 เป็นเรื่องราวของ “มอม” ซึ่งเป็นสุนัขพันทางระหว่างพันธุ์อัลเซเชียนและพันธุ์ไทย มันได้รับการเลี้ยงดูด้วยความรักจากครอบครัวเล็กๆย่านมักกะสันที่อยู่กันสามคนคือ นาย นายหญิง และ “หนู” ซึ่งเป็นลูกสาวของนาย จนทำให้มอมรู้สึกผูกพันและภักดีต่อนายมาก


            ผู้แต่งเปิดเรื่องด้วย “มอม” ซึ่งเป็นตัวละครเอก ได้อย่างน่าสนใจและชวนติดตาม เพราะมีการเล่าภูมิหลังของมอมตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก  เห็นสภาพแวดล้อมของบ้านที่มันอยู่ และปูเรื่องให้เห็นภาพความผูกพันของมอมและนายอย่างน่าประทับใจ ทั้งยังสื่อให้ผู้อ่านรู้ว่าน่าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความผูกพันที่สัตว์เลี้ยงมีต่อเจ้าของ เห็นได้จากตอนที่ว่า “โลกนี้มีชายคนหนึ่งและแม่อีกคนหนึ่ง” และ “...มอมมันจำกลิ่นไว้ได้ กำหนดสัญญาไว้ว่าคนๆนั้นเป็นนายของมัน แล้วมันก็รัก” แสดงให้เห็นในขั้นต้นว่าความผูกพันระหว่างมอมกับนายได้เริ่มขึ้น โดยการอธิบายให้เห็นถึงความเอาใจใส่ที่นายมีต่อมอม ในขณะเดียวกันก็ค่อยๆลดบทบาทของแม่มอมลงไป จนเมื่อมันโตขึ้นแม่ก็หายไปจากโลกของมันในที่สุด เหลือเพียงแต่นายที่ “มอมไม่ได้รักนายเท่าชีวิต แต่นายเป็นชีวิตของมอม” หลังจากนั้นก็เป็นการอธิบายถึงธรรมชาติและสัญชาตญาณทั่วไปของสุนัข เช่น การปัสสาวะรายทางไว้เป็นสัญลักษณ์ในการไปที่ต่างๆและหาทางกลับบ้าน แต่ผู้แต่งก็ใช้คำที่ยัดเยียดความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ลงไปในสัตว์มากเกินไป ทำให้การปัสสาวะรายทางกลายเป็นเรื่องของการท้าทายเกียรติยศของสุนัขที่จะมาทับรอยกันไม่ได้ ซึ่งจริงๆแล้วสุนัขมันอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้นก็ได้ และเหตุการณ์ต่อมาที่มอมไปหลงรักนางนวล สุนัขใกล้บ้าน จนไม่ยอมกลับบ้าน ไม่กินข้าวกินปลาและโดนตีเพราะส่งเสียงหอนเป็นที่รำคาญของชาวบ้าน สุดท้ายก็ต้องซมซานกลับมาหานาย จุดนี้ทำให้มอมรู้สึกสำนึกและตระหนักได้ว่าถึงแม้มอมจะทำผิดโดยการทิ้งนายไปอยู่บ้านอื่นหลายวัน แต่นายก็ไม่โกรธ ทั้งยังหาข้าวมาให้กิน และรักษาอาการป่วยจนมอมกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม เหตุการณ์นี้ก็ทำให้มอมยิ่งรักและซื่อสัตย์กับนายมากขึ้นอีก

            หลังจากนั้น
2 ปี ก็เริ่มมีการเกริ่นการณ์ให้คาดการณ์ได้ว่าจะมีเหตุการณ์ไม่ดีหรือผิดปกติเกิดขึ้น เห็นได้จากฉากและบรรยากาศที่เป็นฤดูหนาว อากาศเย็นเฉียบ อันสื่อถึงความเหงา ความเศร้า ความหดหู่และยิ่งไปกว่านั้นตอนที่บรรยายว่า “...จะสังเกตว่าเช้าวันนั้นผู้คนที่เดินถนนมีสีหน้าผิดปรกติ บางคนก็หน้าตาเศร้าหมอง บางคนก็หน้าตื่น...” และ “...มีรถยนต์บรรทุกขนาดใหญ่โตกว่าที่มันเคยเห็น วิ่งตามกันมาเป็นแถวยาวเหยียด แผ่นดินสะเทือนมาตั้งแต่ไกล...” หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดีขึ้นจริงๆ คือบ้านเมืองเกิดสงครามขึ้น นายจำเป็นต้องไปทำหน้าที่ในสงครามเพราะบทบาททางสังคมเป็นกฎเกณฑ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  การไปของนายในครั้งนี้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของทุกคนในครอบครัว รวมถึงตัวมอมเอง ที่เหมือนขาดคนอันเป็นที่รักไปโดยไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ ทั้งนี้ผู้แต่งเริ่มเร้าอารมณ์ผู้อ่านโดยการทำให้สถานการณ์แย่ลงไปเรื่อยๆและทำให้ผู้อ่านรับรู้ถึงสภาพสังคมในช่วงสงคราม โดยใช้ฉากและบรรยากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนที่นายผู้หญิงและหนูเสียชีวิต ผู้แต่งสามารถบรรยายฉากและบรรยากาศของเหตุการณ์ในคืนนั้นได้เป็นอย่างดี จนทำให้ผู้อ่านสัมผัสได้ถึงภาพ กลิ่น เสียงเสมือนอยู่ในเหตุการณ์ของสงครามนั้นจริงๆ เช่น “...มอมได้ยินเสียงลูกระเบิดแหวกอากาศตรงลงมาที่หลังคาบ้าน มันหมอบนิ่งคอยความกระเทือนของระเบิด แต่แทนที่จะมีเสียงระเบิดมอมกลับได้ยินเสียงกราวใหญ่ทางหลังบ้าน อีกสักครู่หนึ่งมันก็ได้กลิ่นเหม็นไหม้อย่างแรง ไฟไหม้บ้านแน่แล้ว...”

ผู้อ่านจะเห็นภาพที่ผู้คนใช้ชีวิตด้วยความลำบาก และหวาดกลัว แต่ถึงกระนั้นมอมก็ยังเฝ้ารอนายด้วยความหวังและความรู้สึกที่มั่นคง อีกทั้งยังจดจำทุกๆอย่างที่นายได้สั่งไว้และทำตามอย่างเคร่งครัด เพียงเพราะไม่อยากทำให้นายผิดหวัง ตอนนี้จะเห็นว่ามอมพยายามทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มความสามารถ แต่การรอคอยที่ยาวนานในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก ก็บั่นทอนกำลังใจ และเร้าอารมณ์ผู้อ่านจนถึงขีดสุด เมื่อนายหญิงและหนูเสียชีวิต มอมก็เหมือนกับหัวใจแตกสลาย ถึงกระนั้นก็ยังอดทนรอนายด้วยความจงรักภักดี แต่ด้วยสภาพร่างกายที่หิวโซทำให้มันต้องออกไปหาอาหารไปเรื่อยๆเพื่อประทังชีวิต จนกระทั่งหมดแรงที่จะเดินต่อไป ผู้แต่งทำให้ผู้อ่านรู้สึกสงสารและเห็นใจมอมมากขึ้นไปอีก ด้วยความบังเอิญมอมก็ได้เจอกับคุณแต๋ว ซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงที่รักสัตว์ ดังที่เราเห็นได้จากการที่เธอลูบหัวของมอมอย่างเอ็นดู รวมถึงคำพูดที่แสดงให้เห็นว่าเธอสงสารและอยากจะเลี้ยงมอมไว้ หลังจากนั้นมอมก็ได้ไปอยู่กับคุณแต๋ว เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงสัญชาตญาณเอาตัวรอดของสัตว์ ที่เมื่อไม่มีหนทางไป แต่เมื่อมีโอกาสก็จะไม่ลังเลที่จะคว้าเอาไว้ ตลอดเวลาที่อยู่กับคุณแต๋วถึงมอมจะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี และถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “ไอ้ดิ๊ก” แต่ลึกๆแล้ว มันไม่เคยลืมว่ามันเป็นมอมของนาย           

จากนั้นเรื่องราวก็ได้ดำเนินมาถึงจุดวิกฤต ในกลางดึกคืนหนึ่งที่ครอบครัวของคุณแต๋วไม่อยู่บ้าน  มอมได้ยินเสียงขโมยที่กำลังงัดแงะเข้ามาในบ้าน มันจึงพยายามจะจับขโมยให้ได้ แต่แล้วก็พบว่าขโมยคนนั้นคือนายของมัน มันดีใจมากและตั้งใจจะติดตามนายไปทุกที่ แต่นายก็รู้สึกละอายที่ต้องมาเป็นขโมยเพราะตอนนี้ไม่เหลือทรัพย์สมบัติใดๆแล้ว ก็ได้ไล่ให้มอมกลับไปอยู่กับคุณแต๋ว แต่ด้วยความรักและภักดีต่อนาย ทำให้นายใจอ่อนและยอมให้มอมติดตามไปด้วย โดยที่ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ผู้อ่านจะรู้สึกได้ว่า เมื่อมอมได้มาเจอกับนาย พร้อมกับความรู้สึกที่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักเช่นเดิม ก็ทำให้มอมสามารถเสียสละความสุขของมันจากเจ้าของคนใหม่ ไปอยู่กับนาย โดยไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่มันก็พร้อมจะเผชิญ ขอเพียงแค่มีนายอยู่กับมัน เพราะมอมไม่ได้รักนายเท่าชีวิต แต่นายเป็นชีวิตของมอม

            ผู้แต่งเล่าเรื่องย้อนไปในอดีตโดยให้บุคคลที่สามเป็นผู้เล่าซึ่งก็คือผู้แต่งนั่นเอง
นับว่าเป็นวิธีการเล่าที่ชาญฉลาด การเล่าด้วยวิธีนี้ผู้แต่งสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครได้ทุกตัว โดยส่วนใหญ่จะนำเสนอความรู้สึกนึกคิดของมอม แต่ก็มีบางเหตุการณ์ที่ไม่ได้ถ่ายทอดจากความคิดของมอม เช่น “ถ้ามอมมันเป็นคน มันก็จะสังเกตว่าเช้าวันนั้น ผู้คนที่เดินถนนมีสีหน้าผิดปรกติ...” หรือ “มันหารู้ไม่ว่านายถูกระดมไปเป็นทหาร ไปอยู่ไกลไม่มีกำหนดกลับ...” นอกจากนี้ก็ยังมีบางตอนที่ผู้แต่งถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครอื่น เช่น “มอมมันเป็นหมามันจะรู้ได้อย่างไรว่านายหญิงมันกลัวแสนกลัวไม่เป็นอันหลับนอนจนเกือบจะล้มเจ็บลง...”  เป็นต้น

            สำหรับการตั้งชื่อเรื่องไม่ค่อยน่าสนใจเท่าที่ควร เพราะไม่มีคำอื่นที่จะขยายความให้เข้าใจว่าเรื่องราวจะดำเนินไปในทิศทางใด
เพียงแต่ตั้งชื่อตามตัวละครเอก “มอม”  ซึ่งเป็นสุนัขพันทางตัวหนึ่ง ทำให้ผู้อ่านรู้แค่ว่า เรื่องราวที่เขียนมานั้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุนัข เพราะ ”มอม”  เป็นคำที่เมื่อพูดแล้วสามารถรู้ได้ทันทีว่าหมายถึงสุนัขเช่นเดียวกับ คำว่าจ๋อ ที่ใช้เรียกแทนลิง หรือคำว่าเจ้าป่า ที่ใช้เรียกแทนสิงโต

            การใช้ภาษาในเรื่องมอมนั้น แม้มีบางคำที่เข้าใจยาก แต่โดยภาพรวมผู้แต่งเลือกใช้คำง่าย กระชับ และเขาสามารถบรรยายให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจน สามารถทำให้ผู้อ่าน เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับเนื้อเรื่องในตอนนั้นๆ ได้ เช่น
ตะวันสายขึ้นมามันรู้สึกทั้งร้อนทั้งหิวและอยากน้ำ ขาของมันเริ่มเจ็บมากขึ้นมาอีก จมูกของมันแห้งผาก ลิ้นของมันห้อยและแผ่บาน ตาของมันสาดแดงด้วยสายเลือด…” หรือตอนที่บรรยายภาพที่แสดงให้เห็นถึงความเดือดร้อน อันสืบเนื่องมาจากสงครามก็เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามก็มีส่วนที่ผู้แต่งใช้คำไม่สอดคล้องกับบริบท เช่น “บางครั้งได้กลิ่นอะไรที่ข้างถนน น่าสนใจเป็นพิเศษ มันก็ไถลเที่ยวสูดดมกลิ่นนั้นเสีย” ส่วนนี้ไม่สอดคล้องกับอาการดีใจเอิกเกริกที่ได้ออกไปเที่ยวกับนาย เพราะการที่มอมสนใจดมกลิ่นนั้นเป็นธรรมชาติของสุนัขอยู่แล้ว

เรื่องสั้นเรื่อง “มอม” นี้ เป็นเรื่องที่ให้คุณค่าทั้งทางด้านอารมณ์และด้านปัญญา คือ ผู้แต่งสามารถถ่ายทอดความรักความผูกพันของสัตว์กับเจ้านายได้อย่างน่าติดตามและสะเทือนอารมณ์ผู้อ่านได้เป็นอย่างดี ส่วนคุณค่าทางปัญญานั้น ก็สะท้อนให้เห็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น ได้รู้ว่าวิธีการหลบภัยระเบิดในช่วงสงครามในตอนนั้น นิยมหลบภัยในหลุมหลบภัยที่ขุดไว้ใกล้ๆบ้าน  นอกจากนี้ก็ยังสะท้อนให้เห็นว่าทหารผ่านศึกในสมัยนั้นไม่ได้รับสวัสดิการที่ดีพอ เป็นต้น

หากจะมองให้ลึกลงไปอีก มอมในเรื่องนี้อาจไม่ได้หมายถึงเฉพาะสุนัขพันทางตัวหนึ่งเท่านั้น แต่มอมเป็นสัญลักษณ์แทนมนุษย์ทุกคนที่มีความรัก ความซื่อสัตย์ต่อผู้ที่เป็นนายของชีวิต สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมที่มีผู้เป็นนาย มีลูกน้องคอยเดินตาม คอยทำทุกอย่างให้

ตราบใดที่นายยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อมอม มอมก็พร้อมที่จะแลกความสุขสบายทุกอย่าง...เพื่อนาย